16 ก.ย. 2559

ห้ามละเลย!! 10 สัญญาณเตือน ที่บอกว่าควรเอาสารพิษออกจากร่างกายของคุณได้แล้ว

ทุกวันนี้ในการใช้ชีวิตของคนเรา เป็นเรื่องยากมากที่จะหลีกเลี่ยงกับการเจอกับสารพิษในอากาศ อาหารและน้ำ ที่ส่งผลอันตรายต่อร่างกายของเราต่างกันออกไป

โดยสารที่เรายังพอจะยับยั้งหรือไม่นำร่างกายเราเข้าไปเสี่ยงกับสารพิษเหล่านี้ก็คือ การสูบบุหรี่ เครื่องสำอางค์ และผลิตภัณฑ์ที่ใช้ทำความสะอาดต่างๆ ซึ่งมันจะมาเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการก่อตัวของสารพิษในร่างกายของเราได้นั่นเอง
โดยถ้าคุณไม่ได้ใส่ใจกับร่างกายภายในของคุณมากพอ มันจะส่งผลอันตรายต่อคุณอย่างยิ่ง คุณจึงควรที่จะมาหาวิธีทำความสะอาดระบบต่างๆในร่างกายของคุณ เพื่อที่จะทำให้ห่างไกลกับสารที่เป็นอันตรายที่ก่อให้เกิดอาการเหล่านี้

เหนื่อยล้าง่าย
ความเหนื่อยล้าง่ายเป็นสัญญาณที่บ่งบอกเบื้องต้นว่า ร่างกายของคุณได้รับสารพิษเข้าไปสะสมในทางเดินอาหารของคุณแล้ว

ตัวร้อน
เมื่อตับของคุณถูกให้ทำงานอย่างหนักแล้วล่ะก็ มันจะทำให้อุณหภูมิร่างกายของคุณสูงขึ้นกว่าปกติ จึงนำไปสู่การปล่อยสารพิษออกมาจากผิวหนัง

ปวดหัวบ่อย
เกิดจากระบบประสาทได้สะสมสารพิษในร่างกายและเส้นประสาท มากเกินไป จึงทำให้มีอาการปวดอย่างต่อเนื่อง

ไขมันส่วนเกินที่หน้าท้อง
การที่ร่างกายของเราสะสมสารพิษมาเกินไป จะส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเส้นเลือดและคอเลสเตอรอล จึงทำให้น้ำหนักเราจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

การคัดจมูก
เกิดจากการได้รับสารพิษจากในอากาศมากเกินไป

ท้องอืด
ท้องอืด เป็นผลมาจากร่างกายได้รับสารพิษมากเกินไป รวมกับความเครียดและความรู้สึกด้านลบสะสมจนมากเกินไปของเราเอง

การนอนไม่หลับ
การนอนไม่หลับ มักจะเกิดจากการสะสมสารพิษเข้าไปในร่างกาย ซึ่งยังก่อให้เกิดการอุดตันในเส้นเลือดได้อีกด้วย

ปัญหาเกี่ยวกับผิว
อาการที่เกิดมีหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นอาการคันตามร่างกาย สิวขึ้น มันบ่งบอกว่า สารพิษไม่ได้สะสมเพียงอยู่ในร่างกายเท่านั้น มันยังอยู่ที่ผิวหนังด้านนอกของคุณได้อีกด้วย หากคุณไม่รักษาความสะอาดได้เพียงพอ

ลิ้นเหลืองหรือขาว
เกิดจากสารพิษในเลือดของคุณมากเกินไป จึงทำให้ลิ้นคุณมีสีเหลืองหรือขาว ซึ่งเกิดมาจากเชื้อจุลินทรีย์อย่างแบคทีเรียและเชื้อรา

ปัญหาถุงน้ำดี
การสะสมสารพิษในน้ำดี มันส่งผลไปยังกระเพาะปัสสาวะ ซึ่งอาจจะทำให้เกิดการอุดตันและส่งผลไปถึงการก่อตัวของโรคนิ่วได้


วิตามินซีสังเคราะห์(สีส้ม) กับ วิตามินซีธรรมชาติ(สีเหลือง) ต่างกันอย่างไร????

วิตามินซีสังเคราะห์(สีส้ม) กับ วิตามินซีธรรมชาติ(สีเหลือง) ต่างกันอย่างไร????
วิตามินซีสังเคราะห์
วิตามินซีสังเคราะห์ (Synthetic Vitamin C) ได้จากกระบวนการทางเคมี วิตามินซีจะสูญสลายได้ง่ายจากกระบวนการออกซิเดชั่น
วิตามินซีธรรมชาติ
วิตามินซีธรรมชาติ (Natural Vitamin C) ได้จากผักและผลไม้ต่างๆ มีส่วนประกอบของไฟโตนิวเทรียนท์กลุ่มไบโอฟลาโวนอยด์ (Bioflavonoid) ทำให้ร่างกายดูดซึมวิตามินซีไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ และสามารถป้องกันการถูกทำลายโดยกระบวนการเผาผลาญอาหารในร่างกาย ซิตรัส ไบโอฟลาโวนอยด์ (Citrus Bioflavonoid)
จะมีประสิทธิภาพสูงในการเพิ่มความแข็งแรงของเส้นเลือดฝอยและช่วยการดูดซึมวิตามินซีเข้าสู่ร่างกายได้ อย่างไรก็ตาม จากรายงานการศึกษาทดลองในคน ยังไม่พบรายงานว่าวิตามินทั้ง 2 ประเภทนี้ให้ผลของชีวประสิทธิผลที่ต่างกัน ดังนั้น การรับประทานวิตามินซีจากธรรมชาติ หรือวิตามินซีสังเคราะห์ ร่างกายจะได้รับวิตามินซีในปริมาณที่ไม่ต่างกัน
วิตามินซีสังเคราะห์ กับ วิตามินธรรมาติต่างกันอย่างไร???
การดูดซึมและการขับวิตามินซีออกจากร่างกาย
วิตามินซีเป็นสารที่มีความไวต่ออากาศ แสง ความร้อน ดังนั้น หากเก็บผักและผลไม้ไว้เป็นเวลานาน ปริมาณวิตามินซีก็จะลดลงอย่างรวดเร็ว ถึงแม้วิตามินซีจะเป็นวิตามินละลายน้ำที่ดูดซึมได้ง่าย แต่ร่างกายของเราไม่สามารถสังเคราะห์หรือสะสมไว้ใช้ในร่างกายได้ ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่เราต้องได้รับวิตามินซีทุกวัน
วิตามินซีเข้าสู่อวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายด้วยวิธีที่แตกต่างกัน เมื่อรับประทานวิตามินซีเข้าไปจะถูกส่งผ่านผนังทางเดินอาหารและจะถูกดูดซึมในบริเวณลำไสเล็ก 30
สารย่อยสลาย (Metabolites) ของวิตามินซีในร่างกาย จะมีอยู่ 3 ตัว ได้แก่ Dehydroascorbic 2, 3-Diketogulonic Acid และ Oxalic Acid ร่างกายจะขับสารเหล่านี้ออกทางไตเป็นหลัก โดยทั่วไปแล้ว ไม่พบรายงานเรื่องวิตามินซีกับภาวะเป็นพิษ แต่หากรับประทานในขนาดสูง 2-6 กรัมต่อวัน อาจก่อให้เกิดอาการมวนท้อง ท้องเสียได้ 18,19
การดูดซึมและการขับวิตามินซีออกจากร่างกาย - 1
ภาวะการขาดวิตามินซี (VITAMIN C DEFICIENCY)
โรคลิกปิดลักเปิด (Scurvy) มักเกิดขึ้นหลังจากขาดวิตามินซีนานเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือนซึ่งจะมีอาการเลือดออกง่าย ผิดปกติ อาจแสดงออกมาในรูปจ้ำเลือด จุดเลือดออก (Petechiae) เลือดออกตามไรฟัน เลือดออกในข้อ ปวดกระดูก กระดูกพรุน บวม หรือหัวใจโต 20 โดยระยะแรก อาการมักไม่เฉพาะเจาะจง คือ มีอาการรู้สึกไม่สบาย เพลียอ่อนแรง ระยะต่อมาจะมีอาการมากขึ้น คือ พบจุดเลือดออก 21 หากดูให้ดีจะพบว่า อาการจ้ำเลือด เลือดออกง่ายต่างๆ เกี่ยวกับความไม่แข็งแรงของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (Connective Tissue) ของหลอดเลือดอันเนื่องมาจากคอลลาเจนที่ผิดปกติ
ส่วนอาการอ่อนเพลียนั้นมีสาเหตุมาจากปริมาณคาร์นิทีน (Carnitine) ที่ลดลง ซึ่งคาร์นิทีนเป็นสารที่จำเป็นสำหรับการเผาผลาญพลังงานจากไขมันและจำเป็นต่อการสร้างสารสื่อประสาทกลุ่มนอร์อิพิเนฟฟริน
(Norepinephrine) ภาวะการขาดวิตามินซีจะพบเมื่อร่างกายมีวิตามินซีน้อยกว่า 10 มิลลิกรัมต่อวัน และอาการของโรคจะปรากฏขึ้น ภายใน 1 เดือน
ข้อต่อ....ในร่างกายเสื่ยมประสิทธิภาพ เมื่อร่างกายขาดวิตามินซีจะส่งผลต่อ"ข้อต่อ"
ในร่างกายเนื่องจากการสังเคราะห์คอลลาเจนเสื่ยมลง มีผลต่อเนื้อเยื่อเกี่ยวพันซึ่งทำหน้าที่ยึดกระดูกให้ติดกัน ดังนั้น ข้อต่อจึงเคลื่อนไหวได้น้อยมากหรือไม่สามารถเคลื่อนไหวได้
ภาวะการขาดวิตามินซี (Vitamin C Deficiency)
ผลไม่พึงประสงค์ของวิตามินซี
อาการระบบทางเดินอาหาร เช่น อาการท้องเดินหรือปวดท้อง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณของวิตามินซีที่รับประทานเข้าไป หากมีอาการดังกล่าว จำเป็นต้องพิจารณาลดปริมาณวิตามินซีในแต่ละมื้อลง ควรแบ่งรับประทานหลายๆ มื้อระหว่างวันแทน และแนะนำให้รับประทานพร้อมมื้ออาหารหรือพิจารณารับประทานวิตามินซีในรูปแบบออกฤทธิ์นาน (Sustained Release) ซึ่งจะช่วยลดภาวะเป็นกรดและลดอาการไม่พึงประสงค์ดังกล่าวได้
นิ่วในไต การรับประทานวิตามินซีมากเกินไปอาจทำให้เกิดนิ่วในไตโดยจะไปเพิ่มการขับสารที่เรียกว่า ออกซาเลต (Oxalate) งานวิจัยบางฉบับพบว่าการรับประทานวิตามินซีมีผลเพิ่มระดับ Oxalate ในปัสสาวะได้ 22-27 อย่างไรก็ดี งานวิจัยเหล่านี้ไม่ได้มีการกล่าวถึงความสัมพันธ์ของระดับ Oxalate ที่เพิ่มขึ้นกับอุบัติการณ์ของ
การเกิดนิ่ว จากงานวิจัย พบว่า *****การบริโภควิตามินซีมากกว่าวันละ 1,500 มิลลิกรัม ไม่มีผลต่อการก่อให้เกิดนิ่วในไตแต่อย่างใด***
เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่บริโภค
วิตามินซีน้อยกว่า 250 มิลลิกรัมต่อวัน อย่างไรก็ตาม การพิจารณาให้วิตามินซีขนาดสูงกว่า 1,000 มิลลกรัมต่อวัน ในกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงจะเป็นนิ่วในไตอยู่แล้ว ควรพิจารณาใช้อย่างระมัดระวังหรือปรึกษาแพทย์
ผลไม่พึงประสงค์ของวิตามินซี
ปฏิกิริยาของวิตามินซีกับยาและแร่ธาตุต่างๆ
ปฏิกิริยาของวิตามินซีกับยาและแร่ธาตุต่างๆ
ยาแอสไพริน (Aspirin) มีผลเพิ่มระดับการขับออกของวิตามินซีและลดความเข้มข้นของวิตามินซีในเกล็ดเลือด จากการศึกษาพบว่า การรับประทานแอสไพรินสองเม็ด ทุก 6 ชั่วโมงเป็นระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์ ตรวจพบระดับวิตามินซีในเม็ดเลือดขาวลดลงถึง 50%


29 มิ.ย. 2559

นอนอย่างไร ไม่ให้เกิดริ้วรอย

การนอนด้วยท่าที่กดทับหน้าก็ทำให้ผิวหน้าของเรามีริ้วรอยได้ เพราะผิวของเราได้ถูกกดทับเป็นเวลานาน เรานอนปลอดภัยจากริ้วรอยแล้วหรือยัง?


 การนอนที่เสี่ยงต่อการเกิดริ้วรอย …

  • นอนเอามือก่ายหน้าผาก
  • นอนคว่ำเอาหน้าซุกหมอน
  • ใช้ผ้าเนื้อหนาเป็นปลอกหมอน
  • นอนตะแคงหน้าทับรอยย่นของปลอกหมอน

       
หากว่ามีพฤติกรรมเหล่านี้ รู้ไว้เลยนะคะว่าเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้หน้าสาวๆ เป็นริ้วรอย ซึ่งท่านอนที่ไม่ทำให้เกิดริ้วรอยต่างๆ ระหว่างการนอน ได้แก่ นอนหงาย เลือกผ้าปูที่นอน ปลอกหมอนที่มีเนื้อผ้านิ่มนวล ไม่แข็งกระด้าง

11 มิ.ย. 2559

9 เครื่องสำอาง ของสาวๆ ที่ ไม่จำเป็นต้องเสียเงินซื้อ !

โอเคครับสาวๆ เรารู้ครับว่าเวลาคุณเดินไปที่ห้างสรรพสินค้า หรือ ช้อปปิ้งสโตร์ทั่วไป คุณจะต้องหาเรื่องซื้อของนู่นนี่เพื่อที่จะได้คลายเครียดหรืออะไรก็ตาม แต่นี่เป็น เครื่องสำอาง 9 อย่าง ที่คุณอย่าได้เสียเวลาไปซื้อมันเลยครับ เพราะมันไม่มีผลอะไรกับคุณเลยจริงๆ หรือไม่ก็อาจจะมีอะไรที่ใช้แทนมันได้ โดยไม่ต้องเสียเงินซื้อ


1.โทนเนอร์
โทนเนอร์มันล้าสมัยไปแล้วครับ กลับมาสู่ปัจจุบันบ้างเถอะ โทนเนอร์คือสิ่งที่ช่วยกำจัดสิ่งที่ตกเหลือค้างจากการล้างหน้า แต่ก็นะ สมัยนี้ คุณสามารถหาโฟมล้างหน้า หรือ คลีนเซอร์ดีๆ ที่จบในขั้นตอนเดียวได้แล้ว เพราะฉะนั้นโทนเนอร์ทิ้งมันไปได้แล้ว

2.มอยส์เจอไรเซอร์เฉพาะจุด
ผิวหนังก็คือผิวหนัง ไม่จำเป็นที่คุณต้องใช้ มอยส์เจอไรเซอร์ เฉพาะ คอ แขน หรือ เท้า ลองคิดให้ดีก่อนครับ การที่คุณใช้ครีมทามือน่ะก็เพราะกลิ่นหอมของมันต่างหาก ถ้าคุณอยากจะให้ความชุ่มชื่น โลชั่นอย่างเดียวหรือครีมทั่วไปก็เพียงพอแล้วนะ

3. อะไรก็ตามที่มีคำว่า เซลลูไลท์อยู่ในผลิตภัณฑ์
ครีมลดเซลลูไลท์ ไม่มีทางจะทำให้ผิวของคุณกระชับได้แน่นอน แต่คาเฟอีนในครีมเ้หล่านั้นแค่ช่วยให้เลือดของคุณหมุนเวียนดีขึ้น ทางที่ดีที่จะทำให้คุณผอมลงคือการออกกำลังและลดน้ำหนักกินน้อยลงมากกว่า จะมาทาครีมกระชับนะจ๊ะ

4.ครีมโกนขา โกนแขน
ครีมโกนจะทำให้คุณโกนได้ดียิ่งขึ้น แต่ผลลัพท์นั้นไม่ต่างเลยจ้า ถ้าคุณใช่สบู่หรือครีมนวดผมแทน

5.ไพรเมอร์
มีหลายคนก็มารีวิวบอกว่า ถ้าลงไพรเมอร์ก่อน จะลงรองพื้นได้ง่ายขึ้น แถมจะอยู่ยาวนานไปทั้งวันทั้งคืน ทางที่ดีไม่ต้องใช้หรอกจ้า แค่ดูแลหน้าให้ความชุ่มชื้นด้วย moisturizer ก็เพียงพอแล้ว ไม่ต้องเสียเงินซื้อไพรเมอร์ให้ยากหรอก

6. สครับปาก
การสครับปากคือการเอาผิวที่แห้งหรือตายแล้วออกจากริมฝีปากของคุณ แต่จะบอกเลยค่ะว่าไม่ได้จำเป็นเลย เพียงแค่คุณใช้แปรงสีฟันขัดเบาๆที่ริมฝีปากก็เพียงพอแล้ว แถมราคายังถูกกว่าถึงสามเท่าอีกต่างหาก

7. มาส์คเท้า
การมาส์คเท้า = การแช่เท้าด้วยน้ำอุ่นและทาครีมเพิ่มความชุ่มชื้นแค่นั้นเอง ไม่เห็นต้องซื้อให้เสียเงินเล่นเลย

8. เซรั่มบำรุงผมแตกปลาย
การใช้เซรัมเหล่านี้ มันเพียงแค่ทำให้ผมของคุณนุ่มลงเพียงแค่ชั่วครังชั่วคราวเท่านั้น ทางที่ดีคือ ควรเล็มปลายผม และ ดูแลผมด้วยทรีทเม้นท์ดีๆ ดีกว่านะจ๊ะ

9.น้ำแร่สเปรย์หน้า
ใช้น้ำ ใส่กระป๋องฉีดน้ำ ก็เพียงพอแล้วล่ะน่า

4 มิ.ย. 2559

วิธี แต่งตา ที่ทำให้ดวงตาคุณดูโดดเด่นที่สุดในใบหน้า

” ดวงตา ”  เรียกได้ว่าเป็นหน้าต่างของหัวใจเลยใช่ไหมล่ะ ไม่ว่าจะเวลาจะไปพบลูกค้า ทำงานพบปะผู้คนมากมาย หรือเวลาบังเอิญที่ได้เจอชายหนุ่มที่หมายปอง  ว่าแต่เราจะแต่งหน้ายังไงให้ดวงตานั้นโดดเด่นที่สุดในใบหน้ากันล่ะ? มาดูความลับ 8 ข้อที่จะทำให้การ แต่งตา ของคุณโดดเด้งได้ทันที


คิ้วต้องเป๊ะ เข้ากับรูปหน้า
อย่าได้ดูถูกมงกุฏของใบหน้าอย่างคิ้วเป็นอันขาด หากคุณมองข้ามเมื่อไหร่ ตาของคุณจะไม่ปังทันที เพราะฉะนั้นให้เวลากับการเขียนคิ้วซะหน่อย ทำรูปทรงคิ้วให้เข้ากับกรอบหน้าและอยู่อย่างเข้าที่เข้าทาง แค่นี้ก็ช่วยให้ ดวงตา โดดเด่นสวยได้แล้ว


ใช้ไฮไลท์
อย่าคิดว่าการไฮไลท์นั้นเป็นแค่การกรอบรูปหน้าให้โดดเด่นเพียงอย่างเดียว เพราะการไฮไลท์นั้น ช่วยให้ดวงตาของคุณโดดเด่นขึ้นได้เลยล่ะ  โดยเฉพาะการใช้ไฮไลท์บริเวณใต้คิ้ว


เขียนอายไลเนอร์ให้โฉบเฉี่ยว
การเขียนอายไลเนอร์แบบชัดคม แหลม ยังไงก็ไม่มีเอ้าท์ค่ะ สร้างส่วนโค้งและปิดท้ายด้วยปลายแหลมให้สวยงามโฉบเฉี่ยว แค่นี้ดวงตาก็โดดเด่นกว่าการเขียนอายไลเนอร์แบบธรรมดาแล้ว


สร้างสโมกกี้อายในแบบของคุณ
เชื่อว่า งานปาร์ตี้ สาวๆหลายคนต้องพึ่งสโมกกี้อายกันเป็นประจำ เพราะเป็นการเน้นดวงตาให้โดดเด่น ชัดเจนขึ้น แต่รู้ไหมคะว่า การทำสโมกกี้อายตอนกลางวันนั้นก็ทำให้คุณโดดเด่นได้เช่นกัน ขอแค่เพียงเลือกโทนสีให้เหมาะสมเท่านั้นเอง


อายไลเนอร์สีขาวใต้ตา 
หากคุณอยากให้ดวงตาของคุณกลมโต สดใสขึ้น จากวันที่เพิ่งปาร์ตี้อันหนักหน่วงมา ขอแค่มีอายไลเนอร์สีขาว หรือ สีเงิน สีทอง สีที่สว่าง เขียนบริเวณใต้ขอบตาล่าง หรือ บริเวณ inner ขอบตา แค่นี้ตาคุณก็สดใสได้ทันทีโดยไม่ต้องพักฟื้น

ดัดขนตาและทามาสคาร่า
การไม่ดัดขนตา และ ทามาสคาร่านั้น ทำให้คุณดูแตกต่างจากการไม่ทำอะไรเลยอย่างสิ้นเชิง เพราะฉะนั้น ทำเถอะค่ะ เพื่อดวงตาที่กลมโตและดูใหญ่ยิ่งขึ้น


ขนตาปลอมต้องมา
ไม่ว่าจะเป็นการใช้มาสคาร่าเพิ่มความยาวขนตา หรือ ขนตาปลอม ก็ช่วยให้ตาคุณเด้งขึ้นได้ทั้งนั้น


ทาลิปสติกสีนู้ด สีอ่อน เสมอ เมื่อจัดหนักที่ดวงตาแล้ว
เมื่อจัดสโมกกี้อายแล้ว อย่าลืมว่า ต้องดรอปสีปากด้วยนะจ๊ะ เพียงแค่เลือกสีนู้ด สีปากธรรมชาติ แล้วทาลิปกลอสบางๆ เท่านั้นก็พอแล้ว

1 มิ.ย. 2559

8 ทริคการ ทาลิปสติก ที่จะทำให้ปากคุณโดดเด้งน่าจูจุ๊บ

ริมฝีปาก ถือเป็นอีกที่หนึ่งที่เป็นจุดเด่นบนใบหน้าเลยก็ว่าได้ เนื่องจาก คุณต้องพูด ต้องมีการขยับริมฝีปากไปมาตลอดเวลา และเป็นจุดสำคัญที่คนอื่นจะมองเห็น และอาวุธหลักของสาวๆ หลายคนก็คงหนีไม่พ้น ลิปสติก สิ่งที่สามารถเปลี่ยนลุคคุณ เปลี่ยนวันหน้าจืดของคุณให้สวยเด้งขึ้นมาได้ เอาล่ะมาดู 8 วิธี มาลิปสติก ที่จะทำให้ริมฝีปากของคุณ โดดเด้งกันดีกว่า


1.สครับปากเพื่อให้ปากนุ่ม
ใช้สครับปาก หรือ แปรงสีฟันทำความสะอาดบริเวณริมฝีปาก การนวดและสครับนี้ จะทำให้ลิปสติกนั้นติดทนอยู่กับปากได้ยาวนานและกลมกลืนมากยิ่งขึ้น ทำให้ไม่ต้องเสียเงินซื้อลิปสติกแพงๆ ลิปสติกก็สามารถอยู่ทนกับริมฝีปากคุณได้แล้ว


2.คอนทัวร์ให้ถูกกับรูปปาก
บดบังขอบปากธรรมชาติด้วยคอนซีลเลอร์ และวาดรูปปากใหม่ด้วยไลเนอร์ บังคับให้รูปปากมีลักษณะอย่างไรได้ตามชอบ


3.เบลนด์สีลิปสติกให้สวยงาม
จากที่ใช้การทาแบบเรียบ ๆ ธรรมดา มาเริ่มจากการใช้ไลเนอร์ที่ริมขอบริมฝีปาก แล้วค่อยๆไล่สีเข้ามา ที่สำคัญห้ามลืมเบลนด์สีเป็นอันขาด แค่นี้ปากของคุณก็จะดูมีมิติขึ้นแล้ว



4.วาดกรอบปากด้วยคอนซีลเลอร์
ในวันที่ไม่รู้จะทำอะไรกับริมฝีปาก แค่ใช้คอนซีลเลอร์ล้อมกรอบริมฝีปาก ปากของคุณก็จะดูอวบอิ่ม เต็มขึ้น โดดเด้งขึ้น


5.เพิ่มให้ปากดูอวบอิ่มสุดๆด้วยคอนซีลเลอร์
สาว ๆ คนไหนที่ปากบาง ไม่อวบอิ่ม แต่มีฝันอยากมีปากหนาเป็นแบบแม่โจลี่ เพียงแค่ทาไลเนอร์ที่ริมขอบริมฝีปาก และใช้คอนซีลเลอร์ตรงกลาง แล้วตามด้วยลิปสติกอีกที ปากของคุณก็จะดูแน่น ดูอวบอิ่ม หนาขึ้นได้



6.เลือกสีลิปสติกให้เหมาะสมกับสีผิว
การหาลิปสติกที่ทำให้คุณ “เกิด” นั้น ไม่ยากค่ะ ขอแค่ยอมรับในสีผิว และ เลือกสีที่เหมาะกับตัวคุณ ไม่ใช่เลือกแต่สีที่ชอบเพียงอย่างเดียว พึงระลึกไว้เสมอว่า ลิปสติกแบบแมทท์ทำให้ปากคุณดูบางลง เล็กลงได้ ส่วนลิปกลอสนั้น เหมาะกับบางสถานการณ์เท่านั้น


7.ทาลิปให้เป๊ะ
หากคุณพบปัญหาว่าการทาลิปให้เป๊ะกับรูปปากนั้นช่างยากเย็น มาดูวิธีนี้ดีกว่า เริ่มจากการเขียนรูปกากบาทไว้ ที่ริมฝีปากบนก่อน แล้วค่อยๆลากให้มาบรรจบกัน เท่านี้ก็เรียบร้อย


8.เพิ่มความบอบบางให้ริมฝีปาก 
ทาคอนซีลเลอร์รอบริมฝีปาก แล้วใช้สีลิปสติกบริเวณกลางริมฝีปาก จะทำให้ได้ลุคที่มีความบอบบาง หวาน อ่อนโยน ละมุนละไมมากยิ่งขึ้น

30 พ.ค. 2559

โยนเครื่องหนีบผมทิ้งไปได้เลย! แจกสูตร ยืดผมตรง ด้วยตัวเอง ที่บ้าน

นี่คือวิธีการ ยืดผม ให้ตรงสวยเป็นธรรมชาติ ด้วยการนำส่วนผสมเหล่านี้มาเป็นตัวช่วย นอกจากจะช่วยให้ผมตรงสวยแล้ว ยังไม่ทำให้ผมเสีย เหมือนกับเวลาที่สาวๆ ต้องใช้เคมีและความร้อนในการยืดผมแบบทั่วไปอีกด้วย



1. วอดก้า
Eva Herzigova นางแบบชื่อดังระดับโลก ได้เคยบอกว่า เทคนิคของเธอคือ หลังจากสระผมเสร็จแล้ว เธอผสมวอดก้าลงในครีมนวดผมก่อนที่จะนำมาใช้กับผมของเธอหล่ะ

2. น้ำมันมะพร้าว
น้ำมันมะพร้าวจัดเป็นตัวช่วยที่ดี ในกรณีที่ผมของคุณหยิกฟูนิดหน่อย โดยขณะที่ผมเปียก ให้ใช้น้ำมันมะพร้าวปริมาณนิดหน่อยลูบที่ผม แล้วทิ้งไว้จนผมแห้ง จะช่วยทำให้ผมตรงและไม่ลีบแบนอีกด้วย


3. ผักชีฝรั่ง
นำผักชีฝรั่งและน้ำ 1 ส่วน ใส่ลงในเครื่องปั่นจนละเอียดเป็นน้ำ แล้วนำไปใส่ในขวดสเปรย์ หลังจากนั้นก็นำมาสเปรย์ให้ทั่วศีรษะ ทิ้งไว้ 20 นาที แล้วสระผมตามปกติ

4. กล้วยและมะละกอ
ผสมกล้วยสุก 1 ลูก เข้ากับมะละกอสุก 1 ซีก และ น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ บดผสมให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนำมาพอกให้ทั่วผมเหมือนการมาส์คหน้า ทิ้งไว้ 1 ชั่วโมง หรือลองจับดูว่าส่วนผสมที่มาส์คไว้บนผมแห้งสนิทแล้ว ก็ไปสระผมตามปกติได้

26 พ.ค. 2559

3 ทริคแต่งหน้า ให้ได้เบ้าหน้า สวยเป๊ะๆ

การแต่งหน้าแบบมืออาชีพ อาจดูเหมือนต้องอาศัยชั่วโมงบินสักหน่อย แต่การเรียนรู้วิธีการแต่งหน้ายังไงให้ได้ลุคปัง …ฟังดูแล้วน่าจะง่ายกว่า เราเลยขอจัด 3 ทริคแต่งหน้า ให้ได้หน้าคมๆ ทั้งโครงหน้า ทั้งคิ้ว ทั้งตา เราจัดให้ งานสวยกริบต้องมาครับ


1. เลือกคอนทัวร์ให้เหมาะกับรูปหน้าของคุณ
ต้องขออธิบายก่อนว่า เบ้าหน้าใครก็เบ้าหน้าคนนั้นนะ เราหยิบยืมกันไม่ได้ เพราะคนเรามีโครงหน้าเฉพาะตัวกันอยู่แล้ว การแต่งหน้าให้สวยโดดเด่นมาจากการรองพื้นที่เข้ากับรูปหน้า คุณอาจจะเคยได้เห็นการคอนทัวร์หน้าที่คุณต้องร้องว้าวกันมาแล้ว คำแนะนำของเราคือ ปรับเอามาใช้ให้เหมาะกับรูปหน้าของคุณเองกันนะครับ ใครมีรูปหน้าแบบไหน จัดไปตามรูปด้านล่างครับ


2. กฎ 2 ข้อ สำหรับการกันคิ้ว
จงจำไว้ 2 ข้อต่อไปนี้ครับ
– ความกว้างของคิ้ว ควรจะกว้างเท่าๆ กันกับ ความกว้างของริมฝีปากบน สำหรับสาวตาโต ควรจะกันคิ้วให้เรียวบางขึ้น ส่วนสาวตาเล็กเป็นอาหมวย ควรเลี่ยงคิ้วบางๆ การมีคิ้วหนาจะช่วยให้รูปหน้าดูสมดุลขึ้น และช่วยให้ตาไม่ดูเล้กจนเกินไป
– พิจารณาดูพื้นที่ห่างระหว่างคิ้วและตาของเรา สำหรับสาวที่มีคิ้วสูง การกันคิ้วและเขียนคิ้วหนาขึ้นจะช่วยให้รูปตาดูสมดุลขึ้น และหากสาวไหนมีคิ้วต่ำ มีพื้นที่เปลือกตาน้อย คุณจำเป็นต้องกันคิ้วให้เรียวขึ้น


3. เทคนิคการกรีดอายไลเนอร์
งานวาดเส้นอายไลเนอร์เล็กๆ เพียงเส้นเดียวให้คมกริบนี่ เป็นงานที่ท้าทายความสามารถสุดๆ ครับ แต่มันก็ไม่อยากเกินที่เราจะเริ่มต้น สำหรับมือใหม่หัดกรีด เราขอแนะนำให้แต้มอายไลเนอร์เป็น 3 จุด ให้ชิดขอบลายเส้นเปลือกตามากที่สุด จากนั้นค่อยๆ วาดเส้นเชื่อมทั้ง 3 จุดเข้าหากัน ทำบ่อยๆ แล้วจะชำนาญ
ด้วย 3 เทคนิคง่ายๆ เพียงเท่านี้ เลือกให้เหมาะกับรูปหน้าตัวเอง แล้วเราจะสวยในแบบที่ไม่มีใครเหมือนครับ เพราะสาวๆ ทุกคน มีความงามในแบบเฉพาะของตน เอาไปใช้ให้เหมาะ แล้วจะสวยเปล่งประกายได้ทุกวันนะจ๊ะสาวๆ

20 พ.ค. 2559

9 เครื่องสำอาง ที่ควรเก็บในตู้เย็น! ใครเคยเก็บผิดบ้าง

เราเก็บอาหารไว้ในตู้เย็นเพื่อรักษาและยืดอายุของมันใช่ไหมครับ แต่สำหรับเครื่องสำอางเองก็ต้องทำเช่นกันนะ เพราะอุณหภูมินั้นมีส่วนกับอายุของเหล่าเครื่องสำอางนั้นก็เช่นกันนะ ว่าแต่จะมีเครื่องสำอางอะไรที่ “ควร” เก็บในตู้เย็นกันบ้าง มาดูกันดีกว่า


อายไลเนอร์
หากต้องการให้อายไลเนอร์เฉียบคม และเขียนง่ายปรื้ดยิ่งขึ้น แนะนำให้ไปแช่อายไลเนอร์ก่อนทา สัก 20 นาที รับรองว่าเส้นคมกรึ๊บ

อายครีม
สาวกนอนดึกหลายคน อาจต้องพึ่งอายครีม แต่รู้มั้ยว่าอายครีมน่ะต้องเก็บในที่เย็นๆนะ เพราะความเย็นสามารถลดอาการบวมได้ เพราะฉะนั้นอาการตาบวมเป่ง ถ้าได้อายครีมดีๆบวกความเย็นล่ะก็ รับรองอายครีมนั้นจะมีประสิทธิภาพสูงสุดแน่นอน



น้ำหอม
น้ำหอมถือเป็นเครื่องสำอางราคาแพงอย่างหนึ่ง แต่สาวๆอาจจะมักเพิกเฉยในการเก็บรักษา บางคนนี่ถึงขั้นเอาไปเก็บในห้องน้ำ ทำเอาเราปวดตับกันเลยทีเดียว เพราะ น้ำหอมนั้นควรเก็บในตู้เย็น เพื่อรักษาอุณหภูมิ ความชื้นและความร้อนในห้องน้ำนั้นแทบจะเป็นสิ่งที่ทำร้ายน้ำหอมสุดๆ ทางที่ดี ตู้เย็นคือคำตอบครับ

ครีมต่างๆที่มีส่วนผสมของวิตามิน C
หากผลิตภัณฑ์ใดที่มีส่วนผสมของวิตามินซี กรุณาเก็บในตู้เย็นเถอะจ้า เพราะวิตามินซีมีส่วนในการทำให้ผิวกระจ่างใส และสร้างความยืดหยุ่นให้ผิว การเก็บในตู้เย็นจะช่วยรักษาให้วิตามินไม่แตกตัวหรือมีออกซิเจนเข้ามาทำลายเนื้อครีม



ยาทาเล็บ
ปัญหายาทาเล็บเหนียวหนืด สาวๆหลายคนอาจเคยเจอ จะหนืดไปไหนนัก หนืดแล้วหนืดอีก นั่นเพราะความร้อนค่ะ ความร้อนเป็นปฏิปักษ์กับยาทาเล็บเลยก็ว่าได้ สีทีทาบ่อยๆแนะนำให้เก็บใส่ตู้เย็นซะเลย รับรองอยู่นานยาวกว่าเดิมแน่นอนจ้า

มอยส์เจอไรเซอร์
มอยส์เจอไรเซอร์ ช่วยให้เกิดความชุ่มชื้น และหากมีอุณหภูมิเย็นจะช่วยกระชับรูขุมขนได้ด้วยนะ

โทนเนอร์
ยิ่งในหน้าร้อนแล้ว การแช่โทนเนอร์ไว้ในตู้เย็น แล้วมาทาบนหน้า แหม แทบไม่ต้องคิดว่า หากทาบนหน้าจะสดชื่นมากขนาดไหน ยิ่งไปกว่านั้นยังช่วยกระชับรูขุมขนได้ด้วย




มาส์กหน้า
แช่มาส์กในตู้เย็นก่อนการใช้สักหนึ่งชม. จะทำให้เย็นสบายและได้รับความชุ่มชื้นสุดๆ

ลิปสติก


ความร้อนมักจะทำให้ลิปสติกหลอมละลายได้ หากคุณมีแท่งโปรด เราแนะนำให้แช่ตู้เย็นไว้ แล้วตัดจำนวนที่คุณจะใช้ในกล่องเล็กๆ พกพาสะดวก การแช่ตู้เย็นจะทำให้อยู่นานมากยิ่งขึ้น ลิปสติกจึงเป็น เครื่องสำอางที่ควรเก็บในตู้เย็น นั่นเอง

13 พ.ค. 2559

ทาแป้งถูกวิธี หน้าใส มีชัยไปกว่าครึ่ง!

สาวๆ ทุกคนต่างก็มีแป้งในดวงใจกันทั้งนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุด ก็คือ เลือกแป้งให้เหมาะกับสีผิว ถ้าเลือกผิดเบอร์อาจหน้าเทา หน้าลอย ขาวเวอร์มาแต่ไกลได้นะจ๊ะ แต่แป้งแบบไหนล่ะที่จะเหมาะกับสภาพผิวหน้าของแต่ละคน มาดูกันเลย….



แป้งฝุ่น ถ้าคุณเป็นสาวผิวแห้งแป้งฝุ่น เป็นคำตอบที่ดีที่สุด เพราะเนื้อแป้งชนิดฝุ่นจะบางเบา ช่วยปกปิดได้เพียงเล็กน้อย จึงช่วยเผยผิวของคุณได้อย่างเต็มที่ เหมาะกับลุคสาวใสๆ สวยแบบธรรมชาติ


แป้งอัดแข็ง สาวผิวมันพกแป้งอัดแข็งไว้ติดกระเป๋าได้เลยค่ะ เพราะแป้งชนิดนี้เกิดมาเพื่อคุณเเลย ใช้ก็ง่าย พกพาสะดวก ตบทีเดียวอยู่ทั้งวัน แถมยังช่วยปกปิดได้อย่างยอดเยี่ยมอีกด้วย


แปรงปัดแป้ง เป็นอุปกรณ์ที่สามารถใช้ได้กับทั้งแป้งฝุ่นและแป้งพัฟฟ์ เพราะช่วยให้การ ทาแป้ง ไม่หนาหนักหน้าจนเกินไป ควรเลือกแปรงที่นุ่มเพื่อถนอมผิวหน้า รู้ไหมว่าแปรงแข็งๆจะทำให้รูขุมขนของคุณกว้างขึ้นด้วยนะ


ฟองน้ำ เป็นสิ่งที่จำเป็นมาก สามารถช่วยเกลี่ยรองพื้นให้เรียบเนียนยิ่งขึ้น และยังใช้ทาแป้งอัดแข็งได้อีกด้วย รับรองว่าเมคอัพติดทนยาวนานทั้งวันแน่นอน


8 พ.ค. 2559

4 วิธี เลือกสีรองพื้น ให้เป็นเรื่องง่ายๆ ไม่ยุ่งยาก

” รองพื้น ” เป็นเหมือนโฟโต้ช็อปเคลื่อนที่ของสาวๆ เลยก็ว่าได้ เพราะไม่ว่าคุณจะมีสภาพผิวย่ำแย่ แสบสันขนาดไหน รองพื้นคือสิ่งที่สามารถปกปิดทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณมีได้ ไม่ว่าจะเป็นรอยสิว รอยหลุม ต่างๆ  แต่ปัญหาหลักๆของสาวๆเลยก็คือ ” สีรองพื้น ” แน่นอนค่ะว่าถ้าคุณไปที่เคาน์เตอร์ คุณจะมี Beauty Assistant ให้บริการแน่นอน แต่ถ้าคุณต้องไปใน Drugstore ล่ะ คุณต้องทำเองทุกอย่าง แทบจะไม่มีใครมาให้คำแนะนำได้อย่างถ่องแท้ วันนี้เรามีวิธี เลือกสีรองพื้น แบบง่ายๆ มาฝากกันครับ



1.  อย่าเทสสีบน “หลังมือ”  แต่ให้ลองบน ” กราม “
ถามว่า รองพื้นเวลาทาอยู่บนหน้าหรืออยู่บนมือกันแน่จ๊ะสาวๆ … บนหน้าสิครับ .. สีมือกับสีหน้าไม่ได้สีเหมือนกันนะจ๊ะสาวๆ  แนะนำให้ทารองพื้นลงบน ” กราม ” (jaw bone) เพื่อดูความกลมกลืนของสีผิวและสีรองพื้น สาวๆอาจจะเลือกมาสัก 3 สี แล้วปาดลงบนกราม สีไหนที่ไม่โดดออกมา หรือ ต่างจากผิวมากนัก สีนั้นเลยจ้า จัดไป!

2. ถ้าลังเล ให้เลือกสีที่เข้มกว่า
เคยเห็นคนหน้าลอยมั้ยครับ สาวๆ นั่นเป็นเหตุเพราะการเลือกรองพื้นที่ไม่เหมาะกับสีผิวนั่นเอง ถ้าลังเลว่าจะไปทางขาวกว่าหรือมืดกว่า เราแนะนำให้คุณเลือกโทนที่มืดกว่านิดนึง แล้วใช้แป้งฝุ่นกระจายแสงให้ผิวหน้าดีกว่า หน้าเทานะครับ
  
3.  อย่าลืมสีคอ !
การทารองพื้น ไม่ได้ทาแต่หน้านะครับสาวๆ ถ้าสาวๆออกไปปาร์ตี้ยามค่ำคืน งานถ่ายรูปต้องมา งานเซ็กซี่ต้องมา เกิดถ่ายรูปมาหน้าขาววอกกว่าคอ นี่พังไม่เป็นท่าเลยนะจ๊ะ ทางที่ดี ให้หาสีรองพื้นที่สามารถปกปิดสีคอได้ด้วยนะครับ

4. ไม่ต้องทาทั้งหน้า
ให้คิดว่ารองพื้นเป็นเหมือนการกลบเฉพาะจุด ถ้าฉาบหน้าไปหมดจะเหมือนฉาบปูนและจะทำให้ยิ่งดูหลอก หากหน้าของสาวๆนั้นมีปัญหาจริงจัง แนะนำให้ใช้รองพื้นทั่วหน้าและลงด้วยแปรงหรือฟองน้ำ จะช่วยให้รองพื้นอยู่ติดทนและเป็นธรรมชาติ ไม่ดูฉาบผิวจนเหมือนปลอมจนเกินไป 

30 เม.ย. 2559

ปรับโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ปี 2560 ค่าลดหย่อนเพียบ เงินเดือน 26,000 ถึงเสียภาษี


   โครงสร้างภาษีใหม่ปี 2560 ช่วยเสียภาษีน้อยลง หลัง ครม. ไฟเขียวเพิ่มค่าลดหย่อนส่วนตัว คู่สมรส บุตร หักค่าใช้จ่ายได้เพิ่มอีก เงินเดือนไม่เกิน 26,000 บาท ไม่ต้องเสียภาษี

          เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2559 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับปรุงโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยเพิ่มการหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนในหลายรายการ ซึ่งจะทำให้คนที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเสียภาษีน้อยลงในปีภาษี 2560 ดังนี้


ปรับปรุงค่าใช้จ่าย

          1. เพิ่มการหักค่าใช้จ่ายของเงินเดือน ค่าจ้าง ค่านายหน้า ฯลฯ อันเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1) และ (2) แห่งประมวลรัษฎากร จากเดิมร้อยละ 40 ของเงินได้แต่ไม่เกิน 60,000 บาท เป็นร้อยละ 50 ของเงินได้แต่ไม่เกิน 100,000 บาท

          2. ปรับปรุงการหักค่าใช้จ่ายของเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (3) แห่งประมวลรัษฎากร จากเดิมให้หักได้เฉพาะค่าลิขสิทธิ์ ร้อยละ 40แต่ไม่เกิน 60,000 บาท ขยายเพิ่มให้ค่าแห่งกู๊ดวิลล์ ค่าลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร หรือสิทธิอย่างอื่น สามารถหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาได้ร้อยละ 50 ของเงินได้ดังกล่าวแต่ไม่เกิน 100,000 บาท หรือหักค่าใช้จ่ายตามความจำเป็นและสมควรได้


ปรับปรุงค่าลดหย่อน

          1. เพิ่มค่าลดหย่อนสำหรับผู้มีเงินได้ จากเดิม 30,000 บาท เป็น 60,000 บาท
          2. เพิ่มค่าลดหย่อนสำหรับคู่สมรสของผู้มีเงินได้ จากเดิม 30,000 บาท เป็น 60,000 บาท
          3. กรณีคู่สมรสต่างฝ่ายต่างมีเงินได้ ให้หักลดหย่อนรวมกันได้ไม่เกิน 120,000 บาท
          4. เพิ่มค่าลดหย่อนบุตรจากเดิมคนละ 15,000 บาท (ไม่เกิน 3 คน) เป็นคนละ 30,000 บาท ไม่จำกัดจำนวน
          5. ยกเลิกค่าลดหย่อนการศึกษาบุตร จากเดิมให้หักลดหย่อนได้คนละ 2,000 บาท
          6. กองมรดกเดิมให้หักลดหย่อนได้ 30,000 บาท เป็น 60,000 บาท
          7. ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล เดิมให้หักลดหย่อนแก่หุ้นส่วนคนละ 30,000 บาท แต่รวมกันต้องไม่เกิน 60,000 บาท ปรับใหม่เป็นคนละ 60,000 บาท แต่รวมกันต้องไม่เกิน 120,000 บาท

อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาใหม่

          นอกจากนี้ยังได้ปรับอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาใหม่ โดยจากเดิมมีรายได้สุทธิ 4,000,001 บาทขึ้นไปต้องเสียภาษี 35% ปรับเป็นต้องมีรายได้สุทธิ 5,000,001 บาทขึ้นไป ดังนี้


ปรับปรุงเกณฑ์เงินได้พึงประเมินขั้นต่ำที่ผู้มีเงินได้ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษี

          1. กรณีมีเงินได้จากการจ้างแรงงาน (เงินเดือน ค่าจ้าง) เพียงประเภทเดียว

            - หากผู้มีเงินได้เป็นโสด จากเดิมต้องยื่นแบบเมื่อมีเงินได้เกิน 50,000 บาท ปรับเป็นต้องมีเงินได้เกิน 100,000 บาท
         
            - หากผู้มีเงินได้มีคู่สมรส จากเดิมต้องยื่นแบบเมื่อมีเงินได้รวมกันเกิน 100,000 บาท ปรับเป็นต้องมีเงินได้รวมกันเกิน 200,000 บาท

          2. กรณีมีเงินได้จากการจ้างแรงงาน (เงินเดือน ค่าจ้าง) และมีเงินได้ประเภทอื่นด้วย หรือกรณีมีเฉพาะเงินได้ประเภทอื่นที่ไม่ใช่เงินได้จากการจ้างแรงงาน

            - หากผู้มีเงินได้เป็นโสด จากเดิมต้องยื่นแบบเมื่อมีเงินได้เกิน 30,000 บาท ปรับเป็นต้องมีเงินได้เกิน 60,000 บาท

            - หากผู้มีเงินได้มีคู่สมรส จากเดิมต้องยื่นแบบเมื่อมีเงินได้รวมกันเกิน 60,000 บาท ปรับเป็นต้องมีเงินได้รวมกันเกิน 120,000 บาท

          3. กรณีกองมรดกของผู้ตายที่ยังมิได้แบ่ง จากเดิมต้องยื่นแบบเมื่อมีเงินได้เกิน 30,000 บาท ปรับเป็นต้องมีเงินได้เกิน 60,000 บาท

          4. กรณีห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่ไม่ใช่นิติบุคคล จากเดิมต้องยื่นแบบเมื่อมีเงินได้เกิน 30,000 บาท ปรับเป็นต้องมีเงินได้เกิน 60,000 บาท


          ทั้งนี้การปรับเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้นให้ใช้บังคับสำหรับเงินได้พึงประเมินในปีภาษี 2560 เป็นต้นไป (ยื่นแบบภาษีในปี 2561) ซึ่งการปรับปรุงโครงสร้างภาษีครั้งนี้ทำให้การจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามีความเป็นธรรมมากขึ้น สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและค่าครองชีพในปัจจุบัน โดยต้องมีรายได้เดือนละ 26,000 บาทขึ้นไปจึงจะเริ่มเสียภาษี กรณีมีรายได้เฉพาะเงินเดือนเท่านั้น และหักลดหย่อนส่วนตัวโดยไม่ใช้สิทธิลดหย่อนรายการอื่น 

9 สิ่งที่บอกว่า วิธีการ ทาแป้ง ของคุณ ทำคุณดับอนาถแล้วล่ะ

“แป้ง” เครื่องสำอางที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไร หากแต่คืออาวุธพื้นฐานของใบหน้าที่สวยเลยก็ว่าได้ ว่าง่ายๆ ว่าถ้า ทาแป้ง ดี วันนั้นคุณรอดแน่นอน แต่ถ้าวันไหนแป้งไม่ดี วันนั้นจะเป็นวันที่แย๊แย่สำหรับคุณเลยล่ะ และคุณจะรู้ได้ยังไงว่า แป้งที่ใช้อยู่ ทำคุณรอดหรือคุณร่วง มาดูกัน!


1.คุณใช้อุปกรณ์ในการลงรองพื้นผิด
บิวตี้เบลนเดอร์ หรือเจ้าฟองน้ำกลมๆ ที่เป็นขวัญใจของสาวๆนั้น แท้จริงแล้ว เหมาะกับการลงรองพื้นในแบบที่ต้องการการปกปิดขั้นสุด ถ้าอยากได้ลุคเบาๆ อาจจะใช้นิ้วมือเกลี่ยก็ได้


2.ทาแป้งในบริเวณอื่นมากจนเกินไป
ขอให้คงมั่นกับ บริเวณ T zone ไว้ เมื่อต้องลงแป้ง อย่าให้ลามไปจนถึงไรผม เพราะการเอาแป้งจากไรผมนั่นจะทำให้คุณออกจากบ้านช้าไปอีกหลายนาที


3.คุณเก็บแป้งไว้ในห้องน้ำ
แนะนำให้คุณเก็บแป้งไว้ในห้องที่มีอากาศเย็น และแห้งสะอาด อย่างห้องนอนจะดีกว่า เพราะแป้งนั้นจะจับตัวเป็นก้อนทันทีที่ได้รับความชื้น จะมีอะไรแย่ไปกว่าแป้งที่จับตัวเป็นก้อนล่ะจริงไหม

4.เลือกสีแป้งผิด
 คุณอาจจะคิดแค่ คุณควรเลือกสีที่เข้ากับผิวหน้าของคุณหรือใกล้เคียงกับผิวหน้าคุณที่สุด แต่ การใช้แป้งนั้นมีทริคอยู่เล็กน้อยค่ะ ถ้าคุณเป็นคนที่หน้ามัน เลือกแป้งที่สว่างกว่าผิวเล็กน้อย  เพราะเมื่อแป้งเจอกับน้ำมันบนหน้าและเกิดการออกซิไดซ์ ทำให้แป้งอาจดรอปได้ เพราะฉะนั้นเลือกสีสว่างกว่าจะทำให้ลดอาหารหน้าหมองได้ดี ส่วนสาวๆที่หน้าแห้ง ควรเลือกแป้งที่ใกล้เคียงสีผิว เพราะไม่มีน้ำมันมากวนใจระหว่างวันนั่นเอง

5.เลือกสูตรไม่เหมาะสมกับผิว
หากคุณเป็นสาวหน้ามัน จงเลือกแป้งที่มีส่วนผสมของ TALC เพราะจะช่วยดูดซับน้ำมันได้ดี ส่วนสาวหน้าแห้ง การเลือกแป้งสูตรที่มาไฮยารูรอนิคแอซิด หรือสูตรที่ซิลิก้า เพื่อสร้างความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า

 6.โบกแป้งให้หนัก
ถ้าไม่อยาก ดูโบ๊ะ กรุณาทาแป้งเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น และใช้สเปรย์น้ำแร่ในการเซ็ตตัว ก็จะทำให้คุณได้ลุคแบบดิวอี้


7.ไม่เคยเอาแป้งส่วนเกินออก
รู้ไหมว่าทริคของดาราที่เวลาออกกล้อง แต่ทำไมหน้าถึงดูสว่างและเหมือนไม่ใช้แป้งเลยด้วยซ้ำ นั่นก็เพราะเขาไม่เคยลืมปัดแป้งส่วนเกินออกจากหน้าน่ะสิ เพียงแค่ใช้แปรงสะอาดแปรงไปรอบๆ ใบหน้า แค่นี้ก็ออกจากบ้านได้สวยๆ แล้ว  ส่วนวิธีการเช็คก็คือ ลองเซลฟี่ตัวเอง หากไม่พบรอยด่างขาวบนหน้า นั่นถือว่าผ่านแล้วล่ะ

8.ไม่ใช้มอยส์เจอไรเซอร์
หากอยากให้หน้าดูดีไปทั้งวัน อย่าลืมลงมอยส์เจอไรเซอร์เป็นอันขาด


9.ล้างแปรงไม่บ่อยพอ
หาก คุณคือคนหนึ่งที่ชอบแชร์เครื่องสำอางกับเพื่อน แปรงถือว่าเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ควรรักษาความสะอาดเป็นอย่างยิ่ง โดยอย่างน้อยขอให้ล้างเดือนละ 1 ครั้ง และใช้เพียงแค่แชมพูผสมน้ำเล็กน้อย ล้างให้สะอาดและทิ้งให้แห้งบนผ้าขนหนู เท่านั้นเอง

13 เม.ย. 2559

สีผิวอย่างเรา ใช้ บรัชออน สีอะไรดี?

เวลาสาวๆไปเลือกซื้อ บรัชออน หลายคนคงประสบกับปัญหานี้ คือ ละลานตาไปกับสีสันเจ็ดพันแปดหมื่นเฉดคุณพระ!!! แล้วสีไหนละที่เกิดมาเพื่อชั้น ลองซะจนแขนแทบมองไม่เห็นสีผิวครับคุณวันนี้เราเลยนำทริคดีๆ ที่จะช่วยลดเวลา การหาสี บรัชออน ที่เหมาะกับผิวเรามาฝากครับ



เริ่มจากสาวผิวขาวก่อนแล้วกันนะครับ สาวที่มีผิวขาวมากๆ เช่น ฝรั่งหรือสาวหมวยสาวเหนือก็ว่ากันไปด้วยความที่ใบหน้าขาวจนไปถึงซีด ก็เปรียบเหมือนกระดาษขาว ถ้าลงสีจัดจ้านก็จะโดดเด้งจนเกินไป เพราะฉะนั้นต้องเลือกสีซอฟท์ ให้หน้าดูนวลระเรื่อๆ กลมกลืนไปกับผิวจริง จะเหมาะที่สุดครับ


มาถึงสีที่น่าจะเป็นสีผิวสำหรับสาวไทยส่วนใหญ่นะครับ ก็คือผิวกลางๆ ไม่ขาวแต่ไม่คล้ำมากก็สามารถใช้สีที่เข้มขึ้นมาหน่อย เช่น สีชมพูกุหลาบ สีพีชเข้ม ก็จะเป็นสีที่ทำให้ผิวดูสดใส จะไปใช้สีอ่อนเหมือนสาวผิวขาว มันก็จะกลืนหายไปเลย ต้องมีสีสันหน่อยครับ


สุดท้าย ก็เป็นสีสาวไทยแท้อีกเช่นเคย คือสาวผิวเข้ม สีบลัชออนที่ควรใช้ ก็ต้องจัดจ้าน แซ่บตามสีผิวเลยนะครับ
น้นไปที่สีค่อนข้างสว่าง ออกนีออนนิดๆ เช่น ชมพูสว่าง ส้มสว่างหรือคอรัล ถ้าสาวไหนไม่ชอบสีสันจัดจ้าน
อาจเลือกใช้สีน้ำตาลก็ได้ครับ เป็นการลงเฉดดิ้งให้หน้าดูเล็กลงไปในตัว


หากสาวๆ  คนไหนยังไม่มั่นใจการเลือกสี ก็ลองสอบถามเจ้าหน้าที่เครื่องสำอางค์ที่มีประสบการณ์ก็ได้นะครับ 
อาจจะได้คำแนะนำอย่างตรงจุด หรือได้ข้อมูลด้านอื่นเพิ่มเติมด้วย ก็อาจจะต้องลงทุนหน่อยในช่วงแรกนะครับ 
ก่อนที่เราจะค้นพบว่าอะไรที่เหมาะกับเราจริงๆ และอีกอย่าง ให้สังเกตุคำติชมจากคนรอบตัวด้วยก็ดีครับ 
จะได้เลือกสีให้ถูกตามเฉดของหน้าเรา และไม่มีใครทักว่าเป็นแก้มแดงเป็นลิงเจี๊ยกๆด้วย อิอิ